วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

(การออกแบบเทคโนโลยี)




(การออกแบบเทคโนโลยี)


คำอธิบาย แม่แบบการออกแบบนี้รวมไดอะแกรมและตารางตัวอย่างบนภาพนิ่งแต่ละภาพใน PowerPoint คุณจึงสามารถสร้างงานนำเสนอพร้อมด้วยไดอะแกรมและตารางที่กลมกลืนกับการออกแบบงานนำเสนอได้อย่างรวดเร็ว
















วันพุธที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

การสร้างเอกสารใหม่

การสร้างเอกสารใหม่


1.การตั้งค่าหน้ากระดาษ ให้คลิกที่ เมนูแฟ้ม เลื่อนเมาส์ลงมาที่ตั้งค่าหน้ากระดาษ จะปรากฏแถบคำสั่ง 4 แถบ คือ ขอบกระดาษา , ขนาดกระดาษ , แหล่งกระดาษและเค้าโครง
........ขอบกระดาษ ค่าปกติของโปรแกรมที่กำหนดไว้ ดังภาพ2.การสร้างเอกสารใหม่ ............โดยปกติเมื่อเปิดใช้งานโปรแกรม Word97 โปรแกรมจะสร้างแฟ้มเอกสารใช้ให้เองอัตโนมัติ ชื่อแฟ้ม เอกสาร1(ยังไม่มีการบันทึก) ผู้ใช้สามารถสั่งบันทึกในชื่อใหม่ได้ภายหลัง ตามความต้องการ
.......คำสั่งในการสร้างเอกสารใหม่ มีหลายแบบ ได้แก่ กดแป้น Ctrl+N หรือ คลิกที่แฟ้ม > สร้าง หรือ คลิกปุ่มไอคอน .......เมื่อใช้คำสั่งสร้างเอกสาร โดยกดแป้น Ctrl+N โปรแกรมจะเปิดหน้าเอกสารใหม่ให้อัตโนมัติ ชื่อ เอกสาร2 หรือ เอกสาร3 ตามลำดับ .......หากคลิกที่แฟ้3.การบันทึกเอกสารใหม่ ...หมายถึง การบันทึกเอกสารครั้งแรก ซึ่งการบันทึกครั้งแรก จะต้องตั้งชื่อเอกสารตามที่ผู้ใช้ต้องการ โดยพิมพ์ทับ ลงในช่อง ชื่อแฟ้ม ซึ่งโปรแกรมตั้งชื่อให้เองโดยอัต.การเปิดเอกสาร ให้ใช้เมาส์คลิกไอคอน หรือ คลิกเมนู แฟ้ม > เปิดโนมัติแล้ว (ดังภาพ คือ Doc2) ม > สร้าง จะปรากฏหน้าต่างคำสั่ง โดยมีแถบ 4 แถบ ดังภาพ5.การปิด / ย่อแฟ้มเอกสาร หน้าต่างของแฟ้มเอกสารจะมีปุ่มควบคุม (Control Menu)


1.ชุดปุ่มควบคุมแถวบน จะเป็นชุดควบคุม โปรแกรม
2. ชุดปุ่มควบคุมแถว 2 จะเป็นชุดควบคุม แฟ้มเอกสาร

ปุ่มย่อ ลง Task bar (Minimize)

....การย่อโปรแกรม ลง แถบงานหรือ Task bar เพื่อสะดวกสำหรับการสลับใช้โปรแกรมอื่นๆ เช่น การเรียกใช้งานโปรแกรม โดยการดับเบิลคลิก ไอคอนหรือShortcut บนเดสท็อป (DeskTop) ....การย่อเอกสาร เพื่อสะดวกในการคัดลอก ,การเปรียบเทียบ ,การตรวสอบคำ- ข้อความ หรือ การแก้ไขอื่นๆ

ปุ่มคืนสภาพ (Restore)

....เป็นการเรียกหน้าต่างโปรแกรมที่ย่อลงในแถบงาน คืนกลับมาเป็นหน้าต่างปกติ

ปุ่มปิด (Close)

....การปิด - ยกเลิกการใช้งาน
.......ปุ่มย่อ (Minimize) ใช้ในกรณีที่ผู้ใช้เปิดแฟ้มเอกสารพร้อมกันหลายๆแฟ้ม และต้องการใช้ในเวลาเดียวกัน แฟ้มเอกสารจะถูกย่อลงอยู่ด้านล่างขวาของโปรแกรม ดังภาพ ......ถ้าต้องการเรียกแฟ้มกลับมาใช้ต่อ ให้คลิกตรงชื่อแฟ้ม แล้วคลิกคืนค่า ถ้าหากต้องการเลิกใช้ ให้คลิกที่คำสั่ง..... x ปิด .Ctrl+W6.มุมมองเอกสาร
............มุมมองเอกสารในค่าปกติ คือ เค้าโครงหน้ากระดาษ ส่วนประกอบอื่นๆ ได้แก่ ไม้บรรทัด ซึ่งเราสามารถกำหนดหน่วยวัดเป็นนิ้ว , เซนติเมตร , จุด หรือ พิคา ก็ได้

แจกโปรแกรมวาดและออกแบบแผนผังและกราฟต่างๆ Diagram Designer


แจกโปรแกรมวาดและออกแบบแผนผังและกราฟต่างๆ Diagram Designer



ต่างๆเช่น WMF, EMF, Bโปรแกรม Diagram Designer เป็นโปรแกรมที่ใช้วาดและออกแบบไดอะแกรม แผนภูมิ แผนผัง โฟลว์ชาร์ต ต่างๆ ใช้งานได้ง่าย สามารถดึงภาพ (Import) และเซฟไฟล์ได้ในฟอร์แมทMP, JPEG, PNG, MNG และ PCX สามารถพล็อตกราฟสูตรคณิตศาสตร์ต่างๆ ตกแต่งและย่อขนาดของภาพได้ แล้วยังสามารถโชว์ภาพต่างๆในลักษณะสไลด์โชว์ได้อีกด้วย









































วันพุธที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ (GIS)

















ระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ (GIS)





GIS (Geographic Information System) หรือ ระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ “…เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิง พื้นที่ (Spatial Context) โดยข้อมูลลักษณะต่างๆในพื้นที่ที่ทำการศึกษา จะถูกนำมาจัดให้อยู่ในรูปแบบที่มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงซึ่งกันและกัน ซึ่งจะขึ้นอยู่กับชนิดและรายละเอียดของข้อมูลนั้นๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดตามต้องการ"*
ขบวนการในการวิเคราะห์ข้อมูลใน GIS แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ คือ
1. Manual Approach เป็นการนำข้อมูลในรูปแผนที่หรือลายเส้นต่างๆถ่ายลงบนแผ่นใส แล้วนำมาซ้อนทับกัน ที่เรียกว่า “overlay techniques” ในแต่ละปัจจัย เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ แต่วิธีการนี้มีข้อจำกัด ในเรื่องของจำนวนแผ่นใสที่จะนำมาซ้อนทับกัน ทั้งนี้เนื่องจากความสามารถในการวิเคราะห์ด้วยสายตา (Eye Interpretation) จะกระทำได้ในจำนวนของแผ่นใสที่ค่อนข้างจำกัด และจำเป็นต้องใช้เนื้อที่และวัสดุในการเก็บ ข้อมูลค่อนข้างมาก
2. Computer Assisted Approach เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลในรูปของตัวเลขหรือดิจิตอล (digital) โดยการเปลี่ยนรูปแบบของข้อมูลแผนที่หรือลายเส้นให้อยู่ในรูปของตัวเลขแล้วทำการซ้อนทับกันโดยการนำหลักคณิตศาสตร์และตรรกศาสตร์เข้ามาช่วย วิธีการนี้จะช่วยให้ลดเนื้อที่ในการเก็บข้อมูลลงและสามารถเรียกแสดงหรือทำการวิเคราะห์ได้โดยง่าย
หัวใจที่สำคัญของระบบ GIS คือ ข้อมูลด้านเชิงพื้นที่ (Spatial Data) ซึ่งจะถูกนำเข้าระบบด้วยการแปลงให้อยู่ในรูปของ Vector โดยเครื่องมือนำเข้า Digitizer ซึ่งข้อมูลจะมีความสัมพันธ์กันในเชิงตำแหน่งเช่นเดียวกับที่อยู่ในแผนที่ การจัดเก็บข้อมูลในลักษณะ Vector มีข้อดีในแง่การประหยัดเนื้อที่การจัดเก็บ และการขยายภาพให้ใหญ่บนจอภาพโดยยังแสดงความคมชัดเหมือนเดิม การเก็บข้อมูลในเชิงพื้นที่สามารถออกแบการจัดเก็บตามประโยชน์การใช้สอย โดยแบ่งเป็นชั้น (Layer) ต่าง ๅ เช่น ถนน, แม่น้ำ, ลักษณะชั้นดิน, ลักษณะชั้นบรรยากาศ ฯลฯ เมื่อต้องการทำการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้ใช้สามารถที่จะเลือกข้อมูลเชิงพื้นที่ชั้นต่างๆที่ต้องการมาซ้อนทับกัน (Overlay) โดยกำหนดเงื่อนไขที่ต้องการเข้าไปในระบบ ระบบ GIS จะแสดงพื้นที่หรือจุดที่ตั้งของสถานที่ที่ผู้ใช้ต้องการ บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ซึ่งจะแสดงด้วยความเข้มของสีที่แตกต่างกัน ทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าใจได้ง่าย นอกจากระบบ GIS จะจัดเก็บข้อมูลเชิงพื้นที่ เช่นแผนที่แสดงการใช้ที่ดิน ฯลฯ แล้วระบบยังสามารถจัดเก็บข้อมูลที่ไม่ใช่เชิงพื้นที่โดยให้มีความสัมพันธ์กับข้อมูลเชิงพื้นที่ ได้แก่ ข้อมูลแสดงคุณลักษณะต่างๆ (Attribute Data) เช่น ข้อมูลด้านประชากร, ข้อมูลรายละเอียดลูกค้า เป็นต้น ซึ่งการจัดเก็บข้อมูลทั้งหมดจะอยู่ในรูปฐานข้อมูลเดียว (Relational Database) ทำให้การจัดเก็บข้อมูลไม่ซ้ำซ้อน และง่ายต่อการเรียกใช้ข้อมูลนั้นๆ
สาเหตุที่ทำให้ระบบ GIS ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะระบบ GIS มีข้อได้เปรียบมากกว่าการใช้แผนที่ในเรื่อง การจัดเก็บข้อมูลในเชิงพื้นที่ให้ทันสมัยอยู่เสมอ รวมถึงการรวมข้อมูลในเชิงพื้นที่ทั้งหมดให้ให้อยู่ในลักษณะฐานข้อมูลเดียว ซึ่งทำให้มีประโยชน์ในแง่การวิเคราะห์ข้อมูลในรูปแบบต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในเรื่องของระยะเวลา และต้นทุนในการจัดทำ ตัวอย่างจะเห็นได้จากเมื่อผู้บริหารทำการวางแผนด้านพื้นที่ ระบบ GIS ช่วยในการวิเคราะห์พื้นที่ในหลายรูปแบบสำหรับแผนงานที่ต่างๆ กัน เพื่อตอบคำถาม (what-if question) และ ช่วยในการผลิตเอกสารอ้างอิงได้ในขณะที่การทำวิเคราะห์แบบดั้งเดิมต้องใช้ระยะเวลานานและเสียค่าใช้จ่ายสูง ดังนั้นระบบ GIS จึงได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญเพื่อช่วยผู้บริหารในการตัดสินใจในด้านการบริหารสภาพแวดล้อมและทรัพยากรที่มีอยู่ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด




































































เครือข่ายคอมพิวเตอร์ระยะไกล







เครือข่ายคอมพิวเตอร์ระยะไกล


ระบบเครือข่ายระยะไกล หรือ Wide Area Network เป็นระบบเครือข่ายที่ติดตั้งใช้งานอยู่ในบริเวณกว้าง โดยมีการส่งข้อมูลในลักษณะเป็นแพ็คเก็ต (Packet) ซึ่งต้องเดินทางจากเครื่องคอมพิวเตอร์ต้นทางไปสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ปลายทาง แพ็กเก็ตนี้ถูกส่งจากเครื่องคอมพิวเตอร์หนึ่งไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่ง โดยมีสายสื่อสารหรืออุปกรณ์สื่อสารอื่นในการเชื่อมต่อถึงกันในลักษณะเป็นลูกโซ่ หรือเป็นทอดๆอาศัยเครื่องคอมพิวเตอร์ที่อยู่ระหว่างทางแต่ละตัวจะรับข้อความนั้นเก็บจำเอาไว้ และส่งต่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์ถัดไปในเส้นทางที่สะดวก รูปแบบของเครือข่ายที่แตกต่างกันไปตามลักษณะของอัลกอริทึมสำหรับการคำนวณในการส่งแพ็คเก็ต โดยแบ่งออกได้เป็นสองประเภทใหญ่ๆคือ แบบดาตาแกรม (Datagram) และแบบเวอร์ชวลเซอร์กิต (Virtual Circuit)หรือแบบวงจรเสมือน ระบบดาตาแกรมพิจารณาแต่ละแพ็คเก็ตแยกออกจากกัน แพ็คเก็ตต่างๆของข้อความเดียวกันอาจถูกส่งไปในเส้นทางที่ต่างกันได้ขึ้นอยู่กับปริมาณข่าวสารในเครือข่ายในแต่ละขณะเวลาที่ผ่านไป และรวมถึงการเปลี่ยนแปลงลักษณะของเครือข่ายเนื่องจากเครื่องคอมพิวเตอร์บางตัว"เสีย"(คือไม่อาจร่วมในการส่งผ่านข่าวสารในเครือข่ายได้) ดังนั้นการจัดเส้นทางจึงทำอยู่ตลอดเวลาเพื่อปรับให้เข้ากับสภาวะเครือข่าย ข้อเสียของระบบเช่นนี้คือ แพ็คเก็ตอาจไปถึงจุดหมายโดยไม่ได้เรียงลำดับ(Out of Order) จึงต้องถูกจัดเรียงใหม่ก่อนที่จะส่งต่อให้ผู้รับปลายทาง เครือข่ายที่ใช้ระบบนี้รู้จักกันดีคือ อาร์พาเน็ต(ARPARNET)ย่อมาจาก (Advanced Research Projects Agency Network) ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นจุดกำเนิดแม่แบบเครือข่ายสากล หรืออินเตอร์เน็ตด้วย (Internet) ด้วย ส่วนระบบเครือข่ายเวอร์ชวลเซอร์กิตใช้รหัสของต้นทางและปลายทางในแพ็คเก็ตแรก เพื่อจัดเส้นทางผ่านระบบเครือข่ายสำหรับข้อความที่ต้องการส่งในชุดนั้นทั้งหมด ข้อดีของวิธีนี้คือ ส่วนหัวสำหรับแพ็คเก็ตถัดๆไปมีขนาดลดลงได้เพราะแพ็คเก็ตหลังๆเพียงแต่ตามหลังแพ็คเก็ตหน้าไปจึงไม่จำเป็นต้องมีรหัสต้นทางปลายทางอีก และอัลกอริทึมสำหรับจัดเส้นทางนั้นจะทำกันเพียงครั้งเดียวต่อข้อความทั้งข้อความ แทนที่จะต้องคำนวณใหม่สำหรับทุกๆแพ็คเก็ต ข้อเสียสำหรับวิธีการนี้ คือ คอมพิวเตอร์ตามที่กำหนดเส้นทางขึ้นนั้นต้องเก็บข้อมูลเกี่ยวกับเส้นทางนี้ไว้จนกว่าแพ็คเก็ตสุดท้ายจะผ่านไปแล้ว ในกรณีนี้ต้องใช้ที่เก็บข้อมูลมากสำหรับทั้งเครือข่าย และก่อให้เกิดปัญหาใหญ่หากคอมพิวเตอร์เครื่องใดในเส้นทางเกิดเสีย และข้อเสียอีกประการ คือสมรรถนะของเครือข่ายไม่อาจเปลี่ยนแปลงตามสภาพการใช้งานได้ง่าย เพราะเส้นทางถูกกำหนดตายตัวตั้งแต่แพ็คเก็ตแรกหากสภาวะของเครือข่ายระหว่างที่มีการสื่อสารข้อมูลกันอยู่มีการเปลี่ยนแปลงไป แพ็กเก็ตหลังๆก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงหรือปรับเส้นทางในการสื่อสารที่เหมาะสมได้ ตัวอย่างของเครือข่ายแบบนี้คือ TRANSPAC ในฝรั่งเศสและ TYMNET ในสหรัฐอเมริกา หลังจากนั้นก็มีการพัฒนาระบบเครือข่ายขึ้นเรื่อยๆ จนในปัจจุบันประมาณการว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกันในโลกของอินเตอร์เน็ตมีมากกว่า 30 ล้านเครื่องเลยทีเดียว โดยมีข้อกำหนดว่าทุกเครือข่ายที่เชื่อมต่อถึงกันจะต้องอยู่ภายใต้มาตรฐานของการเชื่อมต่อหรือโปรโตคอล ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้งานบนเครือข่ายแบบนี้โดยเฉพาะซึ่งเรียกว่า TCP/IP เหมือนกันหมดทุกเครื่องจากมาตรฐานการเชื่อมต่อแบบเดียวกันนี้จะมีผลทำให้เครือข่ายคอมพิวเตอร์ สามารถติดต่อสื่อสารกันได้ ปัจจุบันมีจำนวนเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อเข้ากับอินเตอร์เน็ตมากกว่า 5 หมื่นเครือข่าย และนับวันจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะที่เครื่องคอมพิวเตอร์กลางที่คอยให้บริการข้อมูลหรือเซิร์ฟเวอร์ที่ต่อเข้ากับอินเตอร์เน็ต 5 ล้านเครื่อง และยังประมาณกันว่าจะมีผู้ขอใช้อินเตอร์เน็ตต (ไคลเอนต์) ในเวลานี้มากกว่า 30 ล้านคน กระจายการใช้งานมากกว่า 84 ประเทศในทั่วทุกมุมโลก ด้วยการออกแบบที่ชาญฉลาดของผู้พัฒนาเครือข่าย โดยไม่มีข้อจำกัดทางฮาร์ดแวร์ เพียงแต่ใช้มาตรฐานการเชื่อมต่อแบบ TCP/IP เท่านั้น ทำให้อินเตอร์เน็ตสามารถเติบโตไปอย่างไม่มีขอบเขตและขีดจำกัดโดยไม่มีใครสามารถเข้ามาควบคุมการผูกขาดทางเทคโนโลยีซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเครือข่ายอินเตอร์เน็ต อินเตอร์เน็ตเปิดให้บริการเครือข่ายที่สามารถให้ผู้ใช้เข้าถึงข้อมูล ด้วยรูปแบบการนำเสนอข้อมูลที่เป็นแบบมัลติมีเดียซึ่งประกอบไปด้วยภาพกราฟิก เสียง ข้อมูล และสัญญาณวิดีโอที่ชื่อว่า World Wide Web ที่ทำให้การค้นหาข้อมูลบนอินเตอร์เน็ตมีความง่ายและสะดวกต่อการใช้งานมากนอกนั้นอินเตอร์เน็ตยังกลายเป็นเครือข่ายที่เปิดกว้างสำหรับทุกๆเรื่อง ตั้งแต่การแสดงออกทางความคิดเห็นจนถึงการสร้างโอกาสทางธุรกิจสำหรับผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆอย่างไร้ข้อจำกัด โดยไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบใครในโลกอภิมหาเครือข่าย






























สื่อสารข้อมูลแบบไร้สายด้วยโมดูล TLP434/RLP434



สื่อสารข้อมูลแบบไร้สายด้วยโมดูล TLP434/RLP434



อยู่มาวันนึงผมก็เกิดไอเดียว่าจะเอาโมดูลรับส่งมาทำอะไรดี เลยเอามาลองใช้เป็นออดไร้สายเรียกคนในบ้้าน ให้ช่วยเปิดประตู เวลาจะขับรถเข้าบ้าน ระบบไร้สายถ้าจะให้คล่องตัวก็ต้องใส่ถ่าน ถ้าจะใช้พวก MCS-51 มันก็คงจะกินไฟมากกว่า เลยเอามาต่อกับ USART ของ PIC16F628A ทำเป็นภาคตัวส่ง
ส่วนภาครับก็ใช้ 16F628A มารับสัญญาณจาก
RLP434 หลังจากรับสัญญาณแล้วก็ทำการเช็คความถูกต้องของข้อมูล ตรงนี้จะสำคัญมาก เพราะเจ้าตัวรับ (RLR434) จะรับข้อมูลขยะเข้ามาตลอดเวลา ถ้าไม่มีการเช็คความถูกต้องของข้อมูลก็จะมีการรับข้อมูลขยะมาประมวลผลได้
โปรโตคอลรับ/ส่ง
ผมใช้วิธีแบบง่ายๆและได้ผลคือส่ง Start byte ไปก่อน แล้วตามด้วยข้อมูล แล้วจบด้วย CRLF เมื่อฝั่งรับเจอ Start byte ก็จะทำการรับข้อมูลไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง buffer ของฝั่งรับเต็มหรือเจอ CRLF ถ้าเจอ CRLF ก็จะนำข้อมูลไปตรวจสอบความถูกต้อง เช่น ฝั่งส่งส่ง :CMD01 ถ้าฝั่งรับรับได้ข้อมูล “CMD01″ ก็จะ enable การทำงานนั่น
สำหรับโปรโตคอลที่ซับซ้อนขึ้นเราจำเป็นต้องมี Error Checking ตรวจสอบข้อมูลเช่น Check Sum หรือ CRC16 แต่จากการทดลองรับส่งการใช้ Check Sum ก็เพียงพอ และยังใช้ Cycle ในการคำนวณไม่มากเท่า CRC16
การสร้าง
สำหรับการสร้าง จะมีฝั่งรับ/ฝั่งส่ง ทางฝั่งส่งผมออกแบบให้ใช้กับถ่าน 9V แล้วมี IC 7805 แปลงเป็นไฟ 5V เพื่อเอาไปเลี้ยงวงจร ทางฝั่งส่งไม่ค่อยจะมีปัญหาเท่าไหร่ เนื่องจากไม่จำกัดเรื่องขนาด และไฟเลี้ยง
เพื่อให้ง่ายต่อการสร้าง ผมเลยใช้แผ่นปริ๊นอเนกประสงค์แล้ว wire สายเอา